วิธี เช็ค รถ เบื้องต้น | 4 วิธี เช็คสภาพรถมือสองเบื้องต้นก่อนซื้อ | Thai Car Lover

Sunday, 28-Aug-22 13:14:06 UTC
การตรวจเช็คสภาพแบตเตอรี่ ให้ตรวจขั้วของแบตเตอรี่ โดยจะต้องไม่มีขี้เกลือ (หากมีขี้เกลือให้ทำความสะอาดด้วยน้ำร้อนและใช้จารบีทาเคลือบ) ต้องไม่ผุกร่อน หลวม แตกร้าว หรือแคล้มป์รัดหลุดหลวม สภาพด้านนอกไม่บวมหรือมีรอยรั่วซึม เช็คระดับน้ำแบตเตอรี่ (น้ำกรด) ต้องอยู่ระหว่าง "UPPER" กับ "LOWER" ถ้าพบว่าระดับต่ำกว่าให้เติมน้ำกลั่นลงไป (หรือรุ่นที่มีตัวชี้บอกสภาพแบตเตอรี่ "ตาแมว" ให้ดูลักษณะเปรียบเทียบตามสติกเกอร์แนะนำ) 7. การตรวจน้ำฉีดล้างกระจก ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเสมอ ดูระดับจากช่องบอกตำแหน่งหรือบางรุ่นที่มีก้านวัด เราอาจใช้น้ำมันสะอาดธรรมดาเติมแทนน้ำยาล้างกระจกได้ แต่ไม่ควรปล่อยให้น้ำในถังน้ำล้างกระจกแห้ง เพราะถังน้ำอาจเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ ไม่ควรใช้น้ำที่มีตะกอนเติม เพราะหัวฉีดน้ำล้างกระจกอาจอุดตันได้ ไม่ควรใช้สารอย่างอื่นที่นอกเหนือจากคู่มือระบุไว้เติมลงในถังเพราะอาจทำความเสียหายแก่สีรถได้ 8. กรองอากาศเครื่องยนต์และกรองอากาศปรับอากาศ (วิธีการถอดในรถแต่ละรุ่นจะแสดงรายละเอียดไว้ประจำรถ) ให้ดูสภาพผิวด้านนอกด้านที่รับอากาศเข้า หากความสกปรกฝังแน่นไม่สามารถเป่าออกได้ด้วยลมควรเปลี่ยนใหม่ (หากใช้รถยนต์บริเวณที่มีการจราจรติดขัดหรือมีฝุ่นมาก อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนกรองอากาศเร็วกว่าที่กำหนด) 9.

การตรวจเช็คแรงดันลมยาง ควรตรวจเช็คทุกๆ 2 สัปดาห์ หรืออย่างน้อยเดือนละครั้ง รวมถึงยางอะไหล่ เพราะแรงดันยางที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ไม่สะดวกสบายในการขับขี่ อายุการใช้งานสั้นลง และไม่ปลอดภัยอีกด้วย 1. 1 ตรวจเช็คแรงดันขณะที่ยางยังเย็นเท่านั้น (จอดแล้วอย่างน้อย 3 ชม. หรือขับไม่เกิน 1. 5 กม. ) เพราะจะทำให้การตรวจเช็คแม่นยำมากยิ่งขึ้น 1. 2 ใช้เกจวัดแรงดันลมยางทุกครั้ง เพราะการใช้สายตาหรือการสัมผัสภายนอกมีความผิดพลาดได้ง่าย แรงดันลมยางที่ผิดค่ากำหนด 2-3 ปอนด์ มีผลต่อการขับขี่และการควบคุมรถได้ 1. 3 ไม่ปล่อยแรงดันลมยางหลังการขับขี่ เนื่องจากแรงดันลมยางจะเพิ่มขึ้นจากความร้อนหลังการขับขี่ 1. 4 ปิดฝาปิดวาล์วเติมลมยางทุกครั้ง ถ้าไม่มีฝาปิด สิ่งผิดปกติหรือความชื้นจะเข้าไปภายในแกนวาล์วและทำให้ลมรั่วได้ 2. การตรวจเช็คสภาพยางว่ายังมีสภาพดีหรือไม่ ให้สังเกตจาก "ตัวบ่งชี้ดอกยางสึก" โดยจะมีสัญลักษณ์เป็นเครื่องหมาย " " อยู่ด้านข้างดอกยางแต่ละเส้นเพื่อบอกแนวตำแหน่ง "ตัวบ่งชี้ดอกยางสึก" จะช่วยให้เราทราบว่าเมื่อใดควรเปลี่ยนยาง เมื่อดอกยางสึกเหลือเพียง 6. 6 มม. หรือน้อยกว่า จะปรากฎตัวบ่งชี้ให้เห็น หากสังเกตเห็นรอยดังกล่าว 2 แนว หรือมากกว่า ควรเปลี่ยนยางใหม่ ยิ่งดอกตื้นมากเท่าไร ความเสี่ยงต่อการลื่นไถลก็มากขึ้นเท่านั้น ถ้ายางเสียหาย เช่น ฉีกขาด แยก แตกเป็นรอยลึกพอที่จะทำให้ยางแตกได้ หรือเป็นรอยนูนอันเนื่องมาจากความเสียหายภายใน ควรเปลี่ยนยางใหม่ ถ้ายางแบนบ่อยๆ ควรปรึกษาศูนย์บริการโตโยต้า กาญจนบุรี และถ้ายางมีอายุการใช้งานมากกว่า 6 ปี ต้องให้ช่างผู้ชำนาญการตรวจเช็คแม้ไม่เกิดรอยเสียหายก็ตาม เพราะยางจะเสื่อมสภาพไปตามเวลาแม้ไม่ได้ใช้งาน สำหรับยางอะไหล่ก็เช่นกัน 3.

/ชม. ก็ได้ ดังนั้น ตรวจเช็คเบรกและจัดการให้มันอยู่ในสภาพที่ดีก่อนออกเดินทาง ถือว่าคุ้มมากที่จะเสียเวลานะคะ การตรวจเช็ครถยนต์ก่อนออกเดินทางไกลเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะมันถือเป็นเรื่องความเป็นความตายเลยทีเดียว หากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับรถของคุณขณะที่คุณขับรถเร็ว ๆ ดังนั้น ยอมเสียเวลาสักนิดก่อนออกเดินทางจะดีกว่า เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณ เพื่อนร่วมเดินทางของคุณ และเพื่อนผู้ใช้รถใช้ถนนท่านอื่น ๆ นะคะ และหากคุณต้องการอ่านบทความเกี่ยวกับรถยนต์และ ประกันรถยนต์ ก็สามารถกด Subscribe จดหมายข่าวจาก ได้เลยค่ะ เราจะส่งสาระความรู้ดี ๆ แบบนี้ตรงถึงอีเมล ให้คุณทุก ๆ สัปดาห์ค่ะ

วิธีดูแลรถยนต์เบื้องต้น ลดความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ

สายพานขับต่างๆ ต้องไม่มีรอยแตก เลอะน้ำมันหล่อลื่น และความตึงสายพานอยู่ในค่ากำหนด 10. แบตเตอรี่และสายไฟ ตรวจดูและเติมน้ำกลั่นให้ได้ระดับที่กำหนดดูเปลือกแบตเตอรี่ว่ามีร่องรอยเสียหายหรือไม่ ดูขั้วต่อและสายไฟว่าอยู่ในสภาพดีหรือไม่ 11. ระดับน้ำมันเบรคและคลัชท์ ตรวจดูว่าระดับน้ำมันเบรคและคลัทช์อยู่ในระดับที่ถูกต้อง 12.

ภาษาอังกฤษ

เช็คประวัติของรถ ประวัติรถยนต์นั้นสามารถเช็คความเป็นมาได้ว่าทำไมเจ้าของเก่านั้นถึงขาย และควรเช็คระยะทางที่ใช้งานนั้นอยู่ที่กี่กิโลเมตรต่อปี ระยะทางนั้นบอกอายุการใช้งานของรถได้ โดยรถปกติทั่วไปจะมีระยะทางในการใช้ประมาณ 25, 000 – 35, 000 กม. ต่อปี และอย่าลืมเช็คคู่มือเข้าศูนย์บริการประจำรถ เพื่อดูประวัติการเข้าซ่อมบำรุงต่าง ๆ คู่มือเหล่านี้จะบอกปัญหาที่เกิดขึ้นของตัวรถได้ ทำให้คุณสามารถประเมินรถคันนี้ได้ง่ายขึ้น 4.

ยาง ตรวจความดันลมยาง ดอกยาง และรอยฉีกขาด ตรวจดูว่าขันแน่นดี แต่ก็ไม่แน่นจนเกินไปจนคลายออก ไม่ได้ด้วยตัวเอง 2. รอยรั่วซึม ตรวจดูว่ามีร่องรอยน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรค หรือน้ำรั่วซึมจากใต้ท้องรถ ถ้ามีก็ควรหาสาเหตุ และรีบแก้ไขนะค่ะ 3. ยางปัดน้ำฝน ทดลองปัดดูโดยใช้ความเร็วทุกระดับ ว่ายังใช้การได้ดีอยู่หรือไม่ เป็นสิ่งที่สำคัญมากนะค่ะ หากเจอกับฝนตกหนักๆ 4. ไฟส่องสว่าง ตรวจดูไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเบรค ไฟเลี้ยวหรืออื่นๆรวมทั้งระดับไฟหน้าด้วยว่าเป็นปกติทั้งหมด การตรวจสภาพภายในรถยนต์ก่อนออกเดินทาง 1. ยางอะไหล่และแม่แรง ตรวจเช็คลมยาง และให้แน่ใจว่าแม่แรงและด้ามขันใช้งานได้ตามปกติ 2. เข็มขัดนิรภัย ตรวจเช็คว่าหัวเข็มขัดสามารถล็อคได้เรียบร้อย 3. แตร ให้แน่ใจว่าดังดี 4. แผงควบคุมและอุปกรณ์ ตรวจดูให้แน่ใจว่าทำงานเป็นปกติ และที่ปัดน้ำฝน ปัดได้เรียบร้อยสม่ำเสมอ 5. เบรก เช็คระยะฟรีขาเบรคอยู่ในค่ากำหนดหรือไม่ 6. ฟิวส์สำรอง ต้องมีขนาดค่ากระแสใช้ได้ตามที่กำหนดที่แผงฟิวส์ ตรวจใต้ฝากระโปรงหน้า 7. ระดับน้ำหล่อเย็น ควรจะมีอยู่ถึงระดับสูงสุดในถังพักสำรอง 8. หม้อน้ำและท่อยาง ควรดูว่าด้านหน้าหม้อน้ำหมดจดไม่มีเศษวัสดุ หรือใบไม้ติดอยู่ ดูท่อยางว่ามีรอยแยกเปื่อย มีรอยฉีกขาดหรือ หลวม 9.

ด้วย node-red

น้ำมันเบรก มีจุดให้สังเกตระหว่าง Min กับ Max ถ้าในระดับปกติต้องไม่เกิน Max และไม่ต่ำกว่า Min แต่ถ้าหากรู้สึกว่า น้ำมันเบรกพร่องหายเยอะเกินปกติ ควรรีบหาสิ่งผิดปกติโดยทันที หรือนำไปให้ช่างผู้ชำนาญตรวจเช็ก และแก้ไข 4. น้ำมันคลัทช์ สำหรับรถยนต์เกียร์ธรรมดา เช่นเดียวกันกับน้ำมันเบรก สังเกตดูที่ระดับ Min กับ Max โดยระดับน้ำมันคลัทช์ต้องอยู่ระหว่างกลาง ไม่มาก ไม่น้อยไปกว่าจุดที่กำหนด และถ้ารู้สึกว่าน้ำมันคลัทช์หายเยอะจนผิดปกติ ให้รีบหาต้นตอปัญหา หรือให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจเช็ก และแก้ไขทันที 5. น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ เช็กได้ง่ายๆ เหมือนกับ 2 ข้อด้านบน ดูระดับ Min กับ Max เช่นเดียวกัน ไม่ให้น้อย หรือเกินกว่าจุดที่กำหนด และถ้าระดับน้ำมันหายไปเยอะผิดปกติ ก็ตรวจหาสาเหตุ หรือให้ช่างตรวจเช็ก และแก้ไขทันที 6. น้ำในถังฉีดกระจก อาจจะดูไม่ค่อยสำคัญเท่าไร แต่เมื่อถึงเวลาจำเป็นต้องใช้จริง ๆ มีไว้ก็ดีกว่าจะใช้แล้วไม่มี ดังนั้นควรเช็กบ้างว่ามันยังมีเหลือหรือเปล่า เพราะใช้เพียงแค่น้ำเปล่าธรรมดาเท่านั้น 7. แบตเตอรี่ มีทั้งแบบแห้ง (ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น และแบบน้ำ (เติมน้ำกลั่น) สำหรับแบตฯ แห้ง ราคาค่อนข้างจะสูงมากทีเดียว แต่ก็ดีตรงที่ไม่ต้องดูแลอะไรมาก เพียงแค่สังเกตอาการ ถ้าเมื่อไหร่ที่เริ่มสตาร์ทติดยาก หรือถึงตามระยะเวลาอายุการใช้งาน ก็เตรียมตัวเปลี่ยนได้เลย แต่ถ้าเป็นแบตฯ น้ำ ต้องดูแลใส่ใจกันนิดนึง เพราะใช้ไปสักระยะ น้ำที่อยู่ในแบตฯ จะระเหยออกไป ดังนั้นจึงต้องคอยเติมอยู่เสมอไม่ให้ขาด และอย่าเติมล้นเกินไป เพราะเมื่อมันเดือดกรดจะล้นออกมากัดขั้ว หรือตัวถังรถได้ 8.

เปลี่ยนแผ่นกรองอากาศอย่างสม่ำเสมอ แผ่นกรองอากาศเป็นชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่ป้องกันฝุ่นหรือสิ่งสกปรกเข้ามาภายในรถยนต์ หากไม่หมั่นตรวจเช็คให้แผ่นกรองอากาศสะอาดอยู่เสมอ นอกจากมีสิ่งสกปรกเข้าไปอุดตันแผ่นกรองอากาศยังส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานหนักมากกว่าปกติอีกด้วย เป็นอย่างไรกันบ้าง กับ 9 วิธีดูแลรถยนต์เบื้องต้น ที่ทางทีมงานฮักส์ อินชัวรันซ์ โบรกเกอร์ประกันภัย นำมาฝาก นอกจากเห็นถึงประโยชน์ของการบำรุงรักษารถยนต์ที่ช่วยยืดอายุให้รถอยู่คู่กับคุณไปนาน ๆ ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมอีกด้วย หากใครต้องการเพิ่มความคุ้มครองให้รถคู่ใจของคุณนอกเหนือไปจาก พ. ร. บ. รถยนต์ สามารถเลือกทำ ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 2 ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 2+ ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 3 ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 3+ และประกันภัยอะไหล่รถยนต์ ฮักส์ยินดีให้คำแนะนำการเลือกกรมธรรม์ประกันภัยที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์การขับขี่ของคุณ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: HUGS Insurance ช่องทางไลน์ @hugsinsurance หรือ โทร 0 2975 5855

พร้อม

ยางรถยนต์ ดูคร่าว ๆ ในเรื่องของสภาพยางทั้ง 4 ล้อ และยางอะไหล่ ว่ายังพร้อมใช้หรือไม่ รวมไปถึงตรวจดูลมยางของแต่ละล้อ ว่ามีล้อไหนลมหายไปเยอะผิดปกติกว่าเส้นอื่นบ้าง หากมีควรรีบหาสาเหตุ และนำไปปะยางทันที หรือถ้าสภาพยางไม่ไหวแล้ว จัดการเปลี่ยนใหม่ปลอดภัยกว่า 12. ไส้กรองระบบปรับอากาศภายในรถยนต์ ต้องลงทุนรื้อภายในกันนิดหน่อย แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถแน่นอน ซึ่งหลังจากที่ถอดออกมาแล้ว ก็จัดการเปลี่ยนอันใหม่เข้าไปได้เลย (ไม่แนะนำให้เอามาทำความสะอาดแล้วใส่เข้าไปใหม่ เพราะไส้กรองแอร์ราคาไม่แพงแล้ว) 13. สัญญาณไฟ และไฟส่องสว่างต่างๆ เช็กดูให้หมด ทั้งไฟหน้าสูง-ต่ำ ไฟท้าย ไฟเลี้ยว ไฟเบรก ไฟถอยหลัง ไฟฉุกเฉิน ฯลฯ ว่ามีตรงไหนติด-ดับบ้าง หากมีก็จัดการนำหลอดใหม่เปลี่ยนเข้าไปแทนที่ได้เลย ขอบคุณข้อมูล กรมการขนส่งทางบก GPS จีพีเอส จีพีเอสรถยนต์ จีพีเอสรถบรรทุก Onelink

2. 1 Hall Sensor เสีย สามารถตรวจเช็คได้ (ตามลิ้งไปดู) แนวทางแก้ไข คือเปลี่ยนเซนเซอร์ ตัวนี้ ที่เสีย หรือ ไม่ก็เปลี่ยนกล่องควบคุม เป็นแบบที่ไม่ต้อง ต่อเซนเซอร์ (sensor less) ก็ใช้งานได้แล้ว 1. 2 สายเฟส เมนของมอเตอร์ ขาดใน ไม่ครบวงจร คือสายเหลือง เขียว น้ำเงิน อาจจะมีบางเส้นขาด หลวม วิธีเช็คแบบง่ายๆ เลย คือ หาหลอดไฟ 12V มาต่อกับสายมอเตอร์ ทีละคู่ แล้วหมุนมอเตอร์ดู หลอดไฟจะติดสว่าง เพราะมอเตอร์แบบนี้ผลิตไฟฟ้าได้ เช่น เขียว - เหลือง, น้ำเงิน - เหลือง, เขียว - น้ำเงิน เช็คทุกคู่ ถ้าไม่มีหลอดไฟ อนุโลม ให้เอาสานช็อตกันเอง ทำทุกคู่ แต่หมุนค่อยๆ ถ้าสาย ปกติในเบื้องต้น มอเตอร์จะหนืด หมุนไม่ไป เพราะ มันเบรคตัวเอง Back EMF ในตัวเอง 1. 3 หากมอเตอร์ไม่หมุนเลย หรือ ฝืดๆ เป้นไปได้ว่าลูกปืนแตก ส่งผลให้แกน ไม่ได้ศูนย์ ทำให้ทุ่นสีแม่เหล็ก หรือ มีเศษเหล็ก ติดค้างขัดทุ่น... ถ้าทุกอย่างปกติ ก็เป้นไปได้ว่ากล่องควบคุม หรือ คันเร่ง เสียเอง (ต้องแน่ใจว่าแบตปกติ และไฟเข้าระบบพร้อมทำงานแล้ว) 2. กล่องควบคุม เมื่อเรารู้ว่ามอเตอร์ เป็นแบบไหน สเปคเท่าไร เราก็จะ เลือกใช้กล่องควบคุมได้ตามมา เพียงแต่กล่องควบคุมแบบ Brushless Motor จะต้องดูเรื่อง องศาของกล่องเดิม 60° หรือ 120° ( เรื่ององศานี้ ผมกล่าวอธิบายไว้แล้ว) ถ้าเลือกได้ ใช้กล่องแบบ Sensorless จบปัญหาเรื่องเฟสไม่ตรง องศาไม่ได้ หรือ ฮอลล์เซนเซอร์เสีย เป็นต้น อาการและการตรวจเช็ค (กรณีแบต และมอเตอร์ ปกติ): 2.

  • ยาง 195 60 14 race tires
  • วิธีตรวจเช็คยางรถยนต์ง่ายๆ ด้วยตนเอง
  • วิธี เช็ค รถ เบื้องต้น ppt
  • แกะโน๊ตบุ๊ค Sony VAIO PCG-8R7L เปลี่ยนฮาร์ดดิส [iT Man] - YouTube
  • จานดิสเบรคหน้า-หลัง | PB MOTOR ขายส่งอะไหล่มอเตอร์ไซค์ทุกชนิด เดิม-แต่ง 089-790-2760, 02-674-2526 | paiboonmotor.com
  • ปิดวางคานแยก ณ ระนอง สะพานข้ามแยก กทม.-เที่ยงคืนถึงตี 5 เริ่ม 16 เม.ย.
  • การจัดรากชวนชม เจาะลึกเทคนิคการสร้าง และแต่งรากชวนชม+ทำให้ออกดอก
  • ลงทะเบียน เยียวยามาตรา 40 เช็คสิทธิ์